Skip to Main Navigation
เรื่องเด่น วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

การประชุมที่กรุงเทพชูประเด็นเรื่องการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกท่ามกลางการลดลงของทุนจากผู้สนับสนุน

Image

เรื่องเด่น

  • ประมาณการณ์ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก สี่ โรคสำคัญ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและปอด โรคหลอดเลือดสมอง และ โรคเบาหวาน คิดเป็นมูลค่า 47 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในระหว่างปี พ.ศ. 2554–2573
  • ระบบการดูแลที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเป็นระบบที่ผนวกระบบการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานกับระบบการดูแลขั้นสูงที่มีความหลากหลายเพื่อรองรับกรณีที่ผู้ป่วยมีเงื่อนไขเฉพาะทางสุขภาพ
  • ท่ามกลางการลดลงของเงินทุนจากผู้สนับสนุน ประเทศต่าง ๆ จะต้องรักษาแหล่งเงินภายในประเทศเพื่อธำรงค์และปรับปรุงสมรรถนะของการสร้างภูมิคุ้มกันและการบริหารจัดการโรคติดเชื้อ ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมความพร้อมให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศให้เตรียมรับมือกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยมีเป้าหมายใหญ่คือ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage: UHC)

“ปัญหานั้นมาเป็นคู่” คำกล่าวนี้เป็นความจริงสำหรับประเทศกลุ่มรายได้น้อยและปานกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกที่กำลังเผชิญความท้าทายทั้งจากเงินทุนจากผู้สนับสนุนลดลงและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ประเทศไทยได้เผชิญหน้ากับปัญหาสำคัญระดับโลกนี้ซึ่งประเทศรายได้น้อยและปานกลางอื่นๆกำลังเผชิญ ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จัดประชุมเชิงปฏิบัตการระดับภูมิภาคขึ้นที่กรุงเทพฯ เรื่อง “เมื่อสองการเปลี่ยนผ่านมาบรรจบกัน: การผนวกโครงการสุขภาพที่ใช้แหล่งเงินสนับสนุนจากภายนอก  ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (When Two Transitions Converge: Integrating Externally-Financed Health Programs While Gearing-Up for Non-Communicable Diseases)”

ผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการทั้ง 120 คน จาก 12 ประเทศ 35 หน่วยงานได้เรียนรู้การผนวกโครงการสุขภาพที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนเข้ากับนโยบายสาธารณสุขของประเทศที่ใช้แหล่งเงินจากงบประมาณ พร้อมกับการเตรียมตัวรับมือการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

นับเป็นงานที่ต้องใช้ความอุสาหะมาก  ประมาณการณ์ว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสี่โรคสำคัญ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและปอด โรคหลอดเลือดสมอง และ โรคเบาหวาน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 47 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในระหว่างปี พ.ศ. 2554–2573

“นับการเป็นการสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจของโลกอย่างมหาศาล” นางเสี่ยวหุ้ย หู นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านสุขภาพของธนาคารโลกกล่าว  

นอกจากนี้  ภาระที่เกิดจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั่วโลกคิดเป็นมูลค่ามากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับภาระที่เกิดจากจากโรคต่าง ๆ ทั่วโลก  แต่กลับได้รับเงินช่วยเหลือเพียงร้อยละ 2 ของเงินช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากต่างประเทศทั้งหมด  จึงส่งผลให้แต่ละประเทศต้องจัดหาแหล่งเงินในประเทศตนเพื่อดูแลภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

กิจกรรมทั้ง 2 วันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปีพ.ศ. 2562 (Prince Mahidol Award Conference 2019: PMAC) ซึ่งร่วมจัดโดย กระทรวงการค้าและการต่างประเทศ ประเทศออสเตรเลีย โกลบอลฟันด์ (Global Fund) กาวิ (Gavi) ยูเอชซี 2030 (UHC2030) องค์การอนามัยโลก (WHO) และธนาคารโลก

นอกเหนือไปจากความท้าท้ายในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากแหล่งเงินทุนจากภายนอกลดลงไปจนถึงการจัดหาแหล่งทุนภายในประเทศแทน ตลอดจนการเตรียมระบบสาธารณสุขเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง  กลุ่มประเทศรายได้น้อยและปานกลางมีความจำเป็นที่ต้องทำงานเพื่อสร้าง “การดูแลอย่างผสมผสาน” ที่จะรวมการบริหารจัดการโรคเข้ากับการให้บริการสุขภาพแก่ผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อ

การสร้างการดูแลแบบผสมผสานนี้จะต้องมีการบริหารจัดการข้อมูล การกำกับดูแล  การเงินและการจัดซื้อจัดจ้าง การเข้าถึงผู้ป่วยนอกพื้นที่ และการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน   แม้ว่าจะเป็นงานที่หนักเอาการ แต่ระบบการดูแลแบบผสมผสานนี้มีความสำคัญ ที่จะป้องกันการดูแลผู้ป่วยแบบแยกส่วน และเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับการให้บริการที่หน้างานซึ่งต่างจากระบบการดูแลแบบโรงพยาบาลเป็นศูนย์กลาง

ประเทศต่างๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิรูปองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางระบาด โดยกุญแจสำคัญคือ การมองระบบทั้งหมดแบบ “องค์รวม”   ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่าในการออกแบบหรือปฏิรูประบบสาธารณสุข ผู้วางนโยบายต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่ต้องใช้ในการปรับเปลี่ยนระบบและองค์กรเพื่อจะส่งมอบผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้


"ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลางของระบบการดูแลแบบผสมผสาน ระบบการดูแลขั้นปฐมภูมิที่มีความหลากหลายและเน้นผู้คนเป็นหลักถือเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดที่สำคัญในระบบสาธารณสุข"
เมลิตตา จาแคพ
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านสุขภาพ องค์การอนามัยโลก

Image

นายมิคกี้ โชปรา หัวหน้ากลุ่มงานแนวทางแก้ไขปัญหาโลกจากกลุ่มธนาคารโลกเตือนว่า “ความเชื่อที่ว่าระบบบริการสาธารณสุขในปัจจุบันแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับจำนวนงานที่เพิ่มขึ้นนั้น มักเป็นสาเหตุของความล้มเหลวของโครงการ”  

แม้ว่าสัดส่วนกลุ่มผู้ป่วยโรคติดต่อลดลง จำนวนเด็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันและประชากรที่กำลังทนทุกข์จากโรคมาลาเรีย วัณโรค และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอชไอวี/เอดส์) ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก  ดังนั้น ในการเตรียมตัวเพื่อรองรับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ประเทศที่กำลังเผชิญการลดลงของแหล่งเงินทุนจากภายนอก จึงมีความจำเป็นต้องใช้แหล่งเงินในประเทศเพื่อธำรงค์และปรับปรุงสมรรถนะของการสร้างภูมิคุ้มกันและการบริหารจัดการโรคติดเชื้อ

นายไมเคิล โบโรวิทซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ โกลบอลฟันด์กล่าวว่าโรคเหล่านี้จะต้องถูกผนวกเข้าไปในระบบสาธารณสุขของประเทศเช่นเดียวกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง   ซึ่งไม่ใช่แค่การควบรวมระบบการดูแลที่มีระดับแตกต่างกันเท่านั้น แต่รวมถึงการผนวกการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อจากรุ่นสู่รุ่นเข้าไปด้วยในการสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อการจัดการกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้นต้องอาศัยการประสานงานที่ดีและทั่วถึงทั้งระบบสาธารณสุข แต่เหนืออื่นสิ่งใด “ประชาชน” ต้องเป็นหัวใจของการทำงานทุกอย่าง

“ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลางของระบบการดูแลแบบผสมผสาน” นางเมลิตตา จาแคพ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านสุขภาพองค์การอนามัยโลก สำนักงานภูมิภาคยุโรป กล่าว “ระบบการดูแลขั้นปฐมภูมิที่มีความหลากหลายและเน้นผู้คนเป็นหลักถือเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดที่สำคัญในระบบสาธารณสุข”

ในขณะที่ประเทศต่างๆ กำลังเผชิญปัญหาแหล่งเงินทุนจากผู้สนับสนุนลดลงและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ประเทศต่างๆยังต้องไม่ละทิ้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งทำให้ประชาชนทุกคน  และชุมชนทุกกลุ่ม ได้รับบริการด้านสุขภาพที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวลถึงปัญหาด้านการเงินจากการรับบริการ

นายโจเซฟ คุตซิน เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกจากกลุ่มการเงินสุขภาพกล่าวสรุปว่า ประเทศควรพิจารณาถึงงบประมาณด้านสาธารณสุขโดยมีเป้าหมายของหลักประกันสุขภาพทั่วหน้าคือ – สร้างความมั่นใจในความเสมอภาคในการใช้บริการ การพัฒนาคุณภาพอย่างเพียงพอที่จะสร้างความแตกต่าง และการพัฒนาความคุ้มครองทางการเงินให้กับทุกคน เงื่อนไขเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางประเทศ โดย คุตซินกล่าวเสริมว่าเป็นเรื่องยากที่ประเทศต่างๆจะสามารถบรรลุทุกเงื่อนไขที่กล่าวมาได้ และมันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าที่จะ “มองเรื่องหลักประกันสุขภาพในฐานะแนวทาง ไม่ใช่จุดหมาย”



Api
Api