สภาวะเศรษฐกิจโลก: ผลกระทบต่อประเทศไทย
เช้านี้ ผมขอแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโลกว่ามี ผลกระทบต่อภูมิภาคเอเซียตะวันออก และประเทศไทย เราได้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว แต่ก็คาดว่า จะเป็นในลักษณะที่ค่อยๆ ฟื้นตัว
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวจากร้อยละ 2.3 ในปี 2556 เป็นร้อยละ 3.1 ในปี 2557 และร้อยละ 3.4 ในปี 2558 มีการคาดการณ์ว่า อัตราความยากจนทั่วโลกจะลดลงควบคู่ไปกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในปี 2553 ประชากรโลกที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.25 เหรียญสหรัฐต่อวันซึ่งถือว่าเป็นระดับความยากจสุดขีด (extreme poverty) มีเพียงร้อยละ 20 ซึ่งกลุ่มธนาคารโลกได้ตั้งเป้าไว้ว่าอัตราประชากรโลกทีมีความยากจนสุดขีดดังกล่าวจะต้องลดลงเหลือเพียงร้อยละ 3 ภายในปี 2573
ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเซียตะวันออกยังคงเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก โดยคาดว่าปีนี้ ภูมิภาคเอเซียตะวันออกจะเติบโตในอัตราร้อยละ 7.3 ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของประเทศจีนที่คาดว่าจะอยู่ในอัตราร้อยละ 7.5 ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะมีการเจริญเติบโตร้อยละ 4 ในปีนี้ และร้อยละ 4.5 ในปี 2557
ปัจจัยสำคัญสำหรับแนวโน้มการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเซียตะวันออกคือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีมูลค่าเหนือระดับก่อนวิกฤติ ก่อนจะเกิดวิกฤตเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2552 ภูมิภาคเอเซียตะวันออกมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศประมาณ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ปัจจุบัน FDI มีมูลค่าประมาณ 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งประมาณสองในสามเป็นมูลค่าของ FDI ในประเทศจีน
การรวมตัวกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะช่วยส่งเสริมแนวโน้มการเจริญเติบโตในภูมิภาคเอเซียตะวันออก ความเป็นตลาดเดียวของประชากรเกือบ 600 ล้านคนจะทำให้ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีพลวัตสูงที่สุดในโลกภูมิภาคหนึ่ง แม้ว่ายังจะมีงานต้องทำอีกมากเพื่อให้การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสมบูรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบริการ แต่ AEC ก็ยังจะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโต เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมมีโอกาสพบกับนักธุรกิจไทยกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นเล่าให้ผมฟังถึงแผนขยายการดำเนินงานของบริษัทในภูมิภาคอาเซียนหลังจากปี 2558
ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เอเซียตะวันออกเผชิญ: การเคลื่อนย้ายเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
อย่างที่ทราบว่าโอกาสมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยง การเคลื่อนย้ายเงินทุนสู่ภูมิภาคเอเซียตะวันออกและทั่วโลกจะยังคงมีความผันผวนในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเซียตะวันออกซึ่งมีจำนวนน้อยมากก่อนเหตุวิกฤตเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2552 พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วโดยมีมูลค่าราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐต่ออาทิตย์ ณ สิ้นปี 2555 ก่อนจะตกฮวบฮาบในเดือนกันยายนที่มีเงินทุนไหลออกกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐอันเนื่องมาจากข่าวการลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐอเมริกา การปิดบริการของรัฐบาลกลางและการเจรจาเรื่องเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผันผวนส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับค่าเงินบาทนั้นในตอนแรกแข็งขึ้นร้อยละ 10 จากเดือนเมษายน 2555 ถึงเมษายน 2556 ตามมูลค่าที่แท้จริง จากนั้นก็อ่อนตัวลงร้อยละ 5 จากเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปีนี้
นอกจากนี้ ประเทศในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงภายใน หนี้ภาคครัวเรือนในประเทศมาเลเซียปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 80 ของจีดีพี ส่วนประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 70 ส่วนหนี้ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินของประเทศจีนเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 100 ของจีดีพีซึ่งเป็นการเพิ่มความอ่อนไหวแก่ธุรกิจเหล่านี้ (รวมไปถึงธนาคารที่ให้ธุรกิจเหล่านี้กู้ยืมเงิน)
นอกเหนือไปจากความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคทั้งในระยะสั้นและระยะกลางดังกล่าว หลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเริ่มจะเผชิญหน้ากับความท้าทายระยะยาวอันได้แก่ความไม่เท่าเทียมกันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำกันเรื่องรายได้ในประเทศจีนจากการคำนวณด้วยค่าสัมประสิทธิ์จีนี่ (GINI coefficient) คิดเป็นร้อยละ 47.8 ส่วนในฟิลิปปินส์คิดเป็นร้อยละ 44.8 ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าวยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ