publicationวันที่ 3 ตุลาคม 2568

รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาประเทศไทย

The World Bank

รายงาน CCDR สำหรับประเทศไทยเปรียบเสมือน “คู่มือเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศโดยผสานกับแผนงานระดับชาติที่ประเทศไทยที่มีอยู่ ทั้งนี้ เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายด้านการพัฒนาของไทยสอดประสานและเสริมกันและกันอยู่แล้ว หากต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูง ประเทศไทยจะต้องเร่งจัดการกับความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งคว้าโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจโลกที่ยั่งยืนให้ได้ แม้จะต้องอาศัยการลงทุนที่สูง แต่หากไม่ดำเนินการใด ๆ เลย ความเสี่ยงและความสูญเสียจะรุนแรงยิ่งกว่า รายงานฉบับนี้มีการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพที่มีผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ผลกระทบจากน้ำท่วม ภัยแล้ง อากาศร้อนจัด และภัยพิบัติอื่น ๆ อันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศ รวมถึงผลกระทบต่อการค้าและการทำงานของภาคเอกชน หากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังไม่มากพอ นอกจากนี้ รายงานยังเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยให้ประเทศไทยสามารถปรับตัว ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคว้าโอกาสจากการเติบโตสีเขียวนี้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว

ข้อค้นพบสำคัญ

ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าในการพัฒนาอย่างโดดเด่น แต่การเติบโตของประเทศไทยกลับชะลอตัวในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา  เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเฉลี่ยลดลงเพียงร้อยละ 2.6 ต่อปีนับตั้งแต่พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา อันเกิดจากปัญหาการลงทุนที่ซบเซา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจที่ชะงักงัน และปัญหาด้านโครงสร้างประชากรที่ทวีความรุนแรงขึ้น  หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปีพ.ศ. 2580 นั้น ประเทศไทยต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปัญหาเหล่านี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นโดยคนยากจนเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด ผลกระทบทางกายภาพ เช่น น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง การขาดแคลนน้ำ และอากาศร้อนจัดส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงต่อภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวนั้นสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน

ความต้องการสินค้าและบริการคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกกำลังชี้ให้เห็นว่า ความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ผลกระทบทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ GDP ของไทยลดลงร้อยละ 7–14 ภายในปีพ.ศ. 2593 หากไม่มีการปรับตัวอย่างจริงจัง  นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ผลกระทบทางเศรษฐกิจในบางปีอาจจะมีมูลค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียเฉลี่ยต่อปีที่ได้ประเมินไว้มาก

การลงทุนเพื่อการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศอาจช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคจากเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศรุนแรงได้อย่างมาก แต่ไม่สามารถชดเชยผลกระทบเหล่านั้นได้ทั้งหมด

ความสูญเสียจากการไม่ทำอะไรเลยมีมูลค่าสูงกว่าการลงทุนเพื่อการดำเนินการอย่างมหาศาล การลงทุนในโครงการป้องกันและบรรเทาภัยน้ำท่วม การปกป้องชายฝั่ง การสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีทำความเย็นอาจเพิ่ม GDP ได้ร้อยละ 4–5 ต่อปีภายในปีพ.ศ. 2593 (เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ) โดยหากคิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปีจะสูงกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ระบบคุ้มครองทางสังคมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยให้กลุ่มเปราะบางในประเทศไทยมีความสามารถในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณ กำหนดเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้น พัฒนาความสามารถในการตอบสนองต่อภัยพิบัติ และลดระบบคุ้มครองทางสังคมที่กระจัดกระจาย มาตรการเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทำให้สามารถจ่ายเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหลังภัยพิบัติได้อย่างเพียงพอ

การก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยคาร์บอนต่ำไม่เพียงส่งผลดีต่อโลก แต่ยังสร้างผลดีต่อประเทศไทยด้วย ดังนี้

  • ลดต้นทุนวงจรการผลิต เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
  • เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน
  • ทำให้คุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนดีขึ้น
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก

แม้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนจะมีความสำคัญ แต่มาตรการนี้เพียงลำพังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปีพ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2608 ได้  หากไม่มีการปฏิรูปและการลงทุนเข้ามาส่งเสริมมาตรการดังกล่าว อัตราการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนก็จะมีประสิทธิผลน้อยลง

ข้อเสนอแนะ

  • ปฏิรูปตลาดพลังงานไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่) การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า และการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมมาตรการจูงใจให้ยานพาหนะขนาดใหญ่หันมาใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ
  • กำหนดมาตรฐานการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคอุตสาหกรรม
  • ปรับเปลี่ยนนโยบายอุดหนุนการเกษตรและยกระดับความรู้ของเกษตรกร
  • ลงทุนในโครงการฟื้นฟูป่าไม้ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างแนวทางการจัดการที่ดินอย่างเข้มแข็ง

ความต้องการเทคโนโลยีสีเขียวและเทคโนโลยีที่ปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลกเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับประเทศไทย

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ร้อยละ 4 ของตลาดโลก

การขยายการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน อาจช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศได้อีกร้อยละ 2–3 ภายในปีพ.ศ. 2573

ข้อเสนอแนะ

  • ลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน
  • ใช้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีและทักษะภายในประเทศ
  • ปรับทิศทางการสนับสนุนด้านนวัตกรรมจากภาครัฐให้เหมาะสม
  • ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยร่วมมือกับภาคเอกชน รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ประเทศไทยจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมตลอด 25 ปีข้างหน้าประมาณ 219,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิแบบมีการลดค่าร้อยละ ≈ 2.4 ของ GDP สะสม)

ตัวเลขนี้แบ่งเป็นการลงทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 96,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนในเกษตรกรรมและป่าไม้ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยทั้งด้านการปรับตัวและการบรรเทาผลกระทบ

ค่าใช้จ่ายด้านการปรับตัวส่วนใหญ่คาดว่าจะมาจากภาครัฐ ในขณะที่ภาคเอกชนจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการบรรเทาผลกระทบ

กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนอาจสร้างรายได้เทียบเท่ากับร้อยละ 1 ของ GDP

การปฏิรูปรายได้ของรัฐ (เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีที่ดิน) สามารถนำมาใช้เสริมในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และลดหนี้สาธารณะได้

นอกจากนี้ ยังสามารถระดมทุนจากภาคเอกชน โดยการสร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงินขยายการออกพันธบัตรสีเขียว/สินเชื่อสีเขียว และเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยลดความเสี่ยง รวมทั้งการเสริมสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน และโครงสร้างพื้นฐานของตลาดสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

มาตราการที่ควรจัดให้มีลำดับความสำคัญสูงสุด 5 ด้าน ได้แก่ การป้องกันและบรรเทาน้ำท่วม ความมั่นคงด้านน้ำ ระบบคุ้มครองทางสังคม กลไกการกำหนดราคาคาร์บอน และพลังงาน

  • การป้องกันและบรรเทาน้ำท่วม: ดำเนินการตามแผนงานบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำทั้ง 9 แผน ควบคู่กับมาตรการเสริมเพื่อปรับปรุงการใช้และการจัดการที่ดิน การอนุรักษ์พื้นที่ป่าในลุ่มน้ำตอนบน และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ความมั่นคงด้านน้ำ: ลงทุนด้านระบบบำบัดน้ำเสียและโครงสร้างพื้นฐานด้านการกักเก็บน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การบูรณาการการจัดการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัด และเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • พลังงาน: ดำเนินการปฏิรูปตลาดไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในภาคพลังงาน และเร่งการนำใช้พลังงานหมุนเวียน ควบคู่ไปกับการลงทุนปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า  การลงทุนในการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัยและส่งเสริมการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานหมุนเวียน
  • ระบบคุ้มครองทางสังคม: เพิ่มสิทธิประโยชน์และปรับปรุงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พัฒนาความสามารถในการตอบสนองต่อภัยพิบัติ และบูรณาการโครงการต่าง ๆ ผ่านการจัดตั้งสำนักทะเบียนกลาง
  • กลไกการกำหนดราคาคาร์บอน: เร่งการอนุมัติร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อคลี่คลายความไม่แน่นอนของภาคเอกชน และวางรากฐานสำหรับกรอบการกำหนดราคาคาร์บอนที่โปร่งใส