กรุงเทพฯ 5 เมษายน 2554 – นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกระบุว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถเติบโตได้ในปีนี้ และจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่เคยเป็นก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจโลกจะเกิด แม้จะยังได้รับแรงกดดันสูงจากสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันโลกก็ตาม อย่างไรก็ดีธนาคารโลกยังเตือนด้วยว่าความเสี่ยงต่อแนวโน้มด้านเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ในรายงาน ตามติดเศรษฐกิจไทย ฉบับเดือนเมษายน 2554 ธนาคารโลกชี้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นการเจริญเติบโตบนพื้นฐานของความต้องการทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ มิใช่แค่จากการส่งออกเป็นหลักเช่นในอดีต ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น การบริโภคในประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในขณะที่การส่งออกก็ยังไปได้ดีแม้เศรษฐกิจโลกจะยังมีความผันผวนสูง ถึงแม้ว่าความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านราคาอาหารและน้ำมันของโลกจะยังไม่จางหายไปในปี 2554 แต่ธนาคารโลกก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถต้านแรงกดดันเหล่านี้ได้และเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ด้วยเหตุนี้เอง ธนาคารโลกจึงปรับประมาณการด้านเศรษฐกิจสำหรับปี 2554 เสียใหม่ โดยให้ตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของไทยขยับขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 3.7 จากที่เคยคาดไว้เมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะเป็นร้อยละ 3.2 อัตราดังกล่าวแม้จะต่ำกว่าร้อยละ 7.8 ในปี 2553 แต่ก็เป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโดยเฉลี่ยก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโลกจะอุบัติขึ้นในปี 2551 ทั้งนี้ธนาคารโลกระบุว่า แนวโน้มด้านเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก ขณะเดียวกัน การที่ราคาสินค้าเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงนั้นก็จะช่วยให้รายได้ของชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้น อันจะมีส่วนผลักดันอุปสงค์สำหรับการอุปโภคบริโภคในประเทศให้ขยายตัวต่อไป
อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกยังเชื่อว่าความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในอนาคตก็ยังมีค่อนข้างสูง เพราะมีปัจจัยภายนอกอีกมากมายที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกในระยะเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการที่ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งสูงขึ้นอีกหากสถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อหนี้สาธารณะของยุโรปและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา รวมทั้งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) ของอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคส์โลกอันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
นายเฟรดเดริโก้ จิล แซนเดอร์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกประจำประเทศไทยและผู้เขียนหลักของรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย เมษายน 2554 กล่าวว่า การควบคุมราคาน้ำมันดีเซลและการที่มูลค่าสินค้าส่งออกของไทยถีบตัวสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโลกนั้น ทำให้เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะที่ราคาอาหารและราคาน้ำมันพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปี 2554 ขณะเดียวกัน การที่ราคาสินค้าเกษตรโลกสูงขึ้นก็ยังส่งผลให้การบริโภคโดยครัวเรือนของไทยเพิ่มสูงขึ้นตามรายได้ภาคเกษตรที่สูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกระบุว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นจะส่งผลโดยตรงต่อประชากรกลุ่มที่เปราะบางที่สุดของประเทศ คือประชากรที่มีรายได้น้อยกว่าเส้นแบ่งความยากจนหรือสูงกว่าเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันพุ่งขยับขึ้นโดยไม่หยุดยั้งก็จะก่อความเสียหายต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศในท้ายที่สุด
“การที่ราคาอาหารถีบตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 2551 ส่งผลให้อัตราความยากจนของไทยในปีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา นี่แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ชาวไร่ชาวนาจะได้ประโยชน์จากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น แต่ภาวะดังกล่าวจะทำร้ายประชากรที่ยากจนที่สุดของประเทศ” นายเฟรดเดริโก้กล่าว “ถ้าราคาน้ำมันยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ชาวนาเองก็จะได้รับความเดือดร้อนจากการขึ้นราคาของสินค้าต่าง ๆ ตามราคาน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหรือสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคอื่น ๆ”
ในรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับใหม่ซึ่งมีกำหนดตีพิมพ์เผยแพร่กลางเดือนเมษายนนี้ ธนาคารโลกได้เสนอแนะนโยบายสำหรับรับมือกับปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้น ธนาคารโลกแนะนำว่าวิธีที่จะช่วยใช้รัฐสามารถนำงบประมาณซึ่งมีอยู่จำกัดไปใช้กับโครงการช่วยเหลือประชากรกลุ่มที่เปราะบางที่สุดโดยตรง น่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลกว่าการอุดหนุนราคาน้ำมันซึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ขณะเดียวกัน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นก็จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความสมดุลย์ระหว่างการลดแรงเสียดทานจากภาวะเงินเฟ้อและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอยู่ในขั้นฟื้นตัวด้วย
สำหรับในระยะยาว การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (energy efficiency) และลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะช่วยให้ไทยสามารถบริหารความเสี่ยงจากวิกฤติราคาน้ำมันโลกที่อาจเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้ ในขณะที่จำนวนประชากรโลกมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกลับทำให้ความมั่นคงทางอาหารของโลกต้องลดลงเรื่อย ๆ การลงทุนในภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาการผลิตอาหารให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอแม้ในสภาพอากาศที่ผันผวนจะช่วยให้ไทยสามารถลดความเสี่ยงของตนเองจากการขาดแคลนอาหารในอนาคตได้
“ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบสามปีที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤติด้านราคาอาหาร นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อว่าภาวะการณ์ดังกล่าวคงไม่ใช่ภาวะที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวแน่ ๆ” นายเฟรดเดริโก้กล่าว “ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์โลกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การผลิตอาหารให้มากขึ้นและสม่ำเสมอยิ่งขึ้นจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถบริหารความเสี่ยงของตนต่อวิกฤติราคาอาหารโลกที่อาจเกิดขึ้นอีกได้”